Element of Nike Air Max Dn | เส้นทางที่ไม่เคยหยุดนิ่งของนวัตกรรมแห่งความเหนือจริง 

Element of Nike Air Max Dn | เส้นทางที่ไม่เคยหยุดนิ่งของนวัตกรรมแห่งความเหนือจริง 

 

เป็นเวลาเกือบครึ่งทศวรรษแล้ว ที่ Nike เปิดตัว Air Unit เทคโนโลยีกันกระแทกของไลน์อัพรองเท้า Air Max ที่พลิกโฉมหน้าของวงการ Sneakers ไปตลอดกาล และในปี 2024 นี้ทาง Nike ได้นำเสนอ Dynamic Air เวอร์ชั่นล่าสุดของดีไซน์ลํ้ายุคบนโมเดล Air Max Dn วันนี้ Carnival จะพาทุกคนย้อนเวลากลับไปสำรวจเรื่องราวการพัฒนาของนวัตกรรมเปลี่ยนโลกใน “Element of Nike Air Max Dn”

 

ก่อนจะไปรู้จักกับ Air Max Dn เราขอเล่าเรื่องราวคร่าว ๆ ถึงที่มาที่ไปของจุดกำเนิดโมเดล Air Max ให้ฟังกันสักเล็กน้อย เรื่องราวทั้งหมดเริ่มต้นอดีตวิศวกรการบินดาวรุ่ง นาม Marion Frank Rudy ผู้นำประสบการณ์ที่เรียนรู้จากการทำงานที่ NASA มาประยุกต์ใช้งานบนพื้นดิน ด้วยแนวคิดเรียบง่ายที่อยากให้ผู้สวมใส่รู้สึกราวกับ “เดินอยู่บนอากาศ” 

 

Frank Rudy จดทะเบียน Patent ระบบกันกระแทกที่อัดฉีดก๊าซเฉื่อยเข้าไปในวัสดุ Polyurethane (PU) ทรงแคปซูล ที่ยืดหยุ่นและคงทน ลักษณะคล้ายๆ กับ “Air Bag” แต่เป็นสำหรับเท้าที่จะนำไปอยู่บริเวณของ Midsole หลังจากผ่านการทดลอง ล้มเหลว และพัฒนามาหลายครั้ง ในที่สุดการค้นคว้าของ Frank Rudy ก็ถูกใช้งานครั้งแรกในรองเท้าจริงในปี 1978 บนโมเดล Nike Air "Tailwind” และวางจำหน่ายในปีต่อมา ก่อนที่เทคโนโลยีนี้จะถูกรู้จักอย่างกว้างขวาง และประสบความสำเร็จในโมเดล Air Max 1 จากการนำทีมดีไซน์โดย Tinker Hatfield สถาปนิกชื่อดังที่ผันตัวมาเป็นนักออกแบบรองเท้ากับทีมงานที่ได้ร่วมกันคิดค้นความเป็นไปได้ใหม่ ๆ ให้รองเท้ามีดีไซน์และนวัตกรรมแตกต่างจากเดิมที่เคยเป็นมา 

 

ด้วยเหตุผลนี้เองในปี 1987 เขาจึงได้พลิกโฉมประวัติศาสตร์วงการรองเท้าด้วยการเปิดตัว Air Max 1 รองเท้าที่เผยให้ชาวโลกได้เห็นเทคโนโลยี Air Unit เป็นครั้งแรก นำโครงสร้างที่ถูกซ่อนไว้ออกมาโชว์ให้เห็นภายนอก Hatfield ได้แรงบันดาลใจการทำสิ่งนี้มาจากตอนที่ไปเที่ยวปารีสแล้วเห็น Pompidou Center อาคารที่ดีไซน์ให้เห็นโครงสร้างที่ถูกซ่อนไว้ผ่านนอกตัวอาคารทั้งหมด ในตอนนั้นไม่มีใครเชื่อว่าการโชว์วัสดุภายในรองเท้านี้จะสามารถวางขายได้สำเร็จ แต่ Hatfield ยืนยันอย่างหนักแน่นกับทีม จนท้ายสุดแล้วด้วยความเชื่อมั่นอันแรงกล้าของเขาก็ทำให้ทุกคนได้ยลโฉมกับ เทคโนโลยี Air (Visible Air Unit) และถูกพัฒนามาจวบจนถึงปัจจุบัน เป็นความสำเร็จในการผลักดันนวัตกรรมและงานดีไซน์ได้อย่างลงตัว 

 

 

 

‘ก้าวกระโดด ท้าทาย ความเเป็นไปได้ใหม่’

เทคโนโลยี Air Unit ถูกพัฒนาต่ออย่างก้าวกระโดด และเข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้เราได้เห็นถึงพัฒนาการ และความเป็นไปได้ใหม่ ๆ ที่หลากหลายและน่าตื่นตาตื่นใจ วันนี้เราจะพาทุกคนมาเดินทางไปพร้อมกัน 

 

หลังจากได้เปิดตัว Air Max 1 และประสบความสำเร็จไปเป็นที่เรียบร้อยในปี 1990 ทาง Nike ได้เปิดตัว Air Max 90 โมเดลที่เต็มไปด้วยความลื่นไหล  รูปทรงรองเท้ามีการปรับโครงสร้างช่องหน้าต่างใหม่ให้โฉบเฉี่ยวขึ้นกว่าที่เคย ในคู่สีเฉดสะดุดตา จนเป็นที่มาให้เรียกกันว่า“อินฟราเรด” (Infrared)  ช่วยเน้นความโดดเด่นให้กับ Air-Sole 

 

ถัดมาในปี 93 เป็นปีที่ Air Max 93 ได้ถือกำเนิดขึ้น โดยครั้งนี้ Hatfield ได้เซอร์ไพรซ์ทุกคนด้วยการต่อยอดลายเซาะร่องเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่น (Flex Groove) ใช้ปลอกเท้าด้านในแบบ Dynamic-Fit ที่ทำจากยางนีโอพรีนเพื่อประคองเท้าและข้อเท้า เสริมทับด้วย Air-Sole ที่มองเห็นได้ 270 องศา โดยได้แรงบันดาลใจมาจากเหยือกนมพลาสติก เป็นการเป่าขึ้นรูปด้วยเทคโนโลยีทางวิศวกรรมที่มีความแม่นยำสูง ถือเป็นการสร้างมาตรฐานใหม่ของระบบรองรับแรงกระแทกอย่างสมบูรณ์แบบ จนกลายเป็นรากฐานสำคัญให้กับการออกแบบ Air-Sole ที่ปลายเท้า

 

ปี 1995 ที่มีการถือกำเนิดของ Air Max 95 ซึ่งป็นรุ่นแรกที่มีการโชว์นวัตกรรมรองรับแรงการกระแทกจากการวิ่งโดยใช้ชิ้นส่วน Air Unit ถึง 2 ชิ้น เพื่อให้นักวิ่งรู้สึกถึงความสบายกว่าเดิม โดยได้แรงบันดาลใจมาจากร่างกายมนุษย์  โดยส่วนบริเวณกลางส้นรองเท้าได้รับแรงบันดาลใจจากกระดูกสันหลัง ด้านข้างรองเท้าที่ผลิตจาก Nylon เปรียบเสมือนซี่โครง ในขณะที่ช่วงบนของรองเท้าและหน้ารองเท้าเปรียบเสมือนผิวหนังและกล้ามเนื้อ เสริมความพิเศษด้วยการไล่สีหน้ารองเท้า วางตำแหน่งโลโก้ Nike ด้วยตัวพิมพ์แบบใหม่ และใส่สีในชิ้นส่วน Air-Sole เป็นไฮไลท์ที่ทำให้รองเท้ารุ่นนี้มีความน่าจดจำ

 

ถัดมากับ Air Max 97 มาพร้อมนวัตกรรม Air Unit ที่ยาวตลอดตัวรองเท้า เป็นอีกก้าวสำคัญของ Nike ในเรื่องการออกแบบ ความพิเศษของรองเท้าคู่นี้คือเป็นรองเท้าที่มีดีไซน์คลาสสิค สะท้อนให้เห็นถึงยุค Maximalism ได้แรงบันดาลใจมาจาก รถไฟหัวกระสุนในกรุงโตเกียวของประเทศญี่ปุ่น โดดเด่นด้วยชิ้นส่วนที่เป็นเงา 

 

อีกรุ่นที่ไม่พูดถึงไม่ได้คือ Nike Air Max Plus โมเดลแห่งนวัตกรรมอีกหนึ่งโมเดลกับการเปิดตัว Tuned Air ซีรีส์ถุงกันกระแทก Air Unit ที่ได้รับการปรับเทียบตาม PSI ที่แตกต่างกัน ดีไซน์ Air Max Plus ถูกคิดค้นขึ้นโดย Sean McDowell กับแรงบันดาลใจการออกแบบที่ได้มาจากตอนที่เขากำลังนั่งชิลล์กับเพื่อน ๆ อยู่ริมชายหาดฟลอริด้าในช่วงวันหยุดพักผ่อน  โดยนำสิ่งที่เห็นตรงหน้าไม่ว่าจะเป็นท้องฟ้าในยามเย็นที่กำลังเปลี่ยนสี ต้นปาล์มริมทะเลที่พริ้วไสวไปตามแรงลม หางของปลาวาฬ องค์ประกอบเหล่านี้ถูกรวมกันจนกลายเป็นซิลลูเอทของ Air Max Plus ที่เราเห็นในปัจจุบัน

 

ถัดมาในปี 2006 กับ Air Max 360 รองเท้าอีกหนึ่งรุ่นที่ถือเป็นแลนด์มาร์กแห่งนวัตกรรม มีกิมมิคพิเศษคือใช้ชิ้นส่วน Air Unit ที่สมดุลขึ้น พร้อมลดจำนวนโฟมที่ใช้คั่นกลางระหว่างเท้ากับชิ้นส่วน Air-Sole พร้อมใช้เทคนิคการขึ้นรูปด้วยความร้อนเป็นครั้งแรกเพื่อการสร้างชิ้นส่วนซัพพอร์ทแบบ 360 องศา 

 

ไลน์อัพ Air Max พัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง ในช่วงทศวรรษ 2010s โฟกัสในส่วนของ Upper และระบบ Cage 

จนมาถึงในปี 2017 Nike ได้ปล่อย VaporMax หนึ่งในโมเดล Air Max นำทีมดีไซน์โดย Dylan Raasch ดีไซเนอร์ Nike Sportswear เปิดตัวครั้งแรกในโทนสี Pure Platinum โดดเด่นที่แม่พิมพ์พื้นรองเท้าใช้เทคนิคขั้นสูงบนกระดาษประกอบด้วยส่วนประกอบ 39,000 ชิ้น เป็น Air Max รุ่นแรกที่ไม่มีโฟมหรือยางที่ Midsole และ Outsole ส่วนบนเชื่อมเข้ากับถุงลมนิรภัยโดยตรง ทำให้รองเท้ามีสัมผัสเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว

 

Air Max 720 โมเดลที่มาพร้อมกับรูปลักษณ์สุดล้ำสมัย และ Air Unit ที่ใหญ่กว่ารุ่นก่อน โดย Upper เป็นวัสดุผ้า Mesh ที่มีน้ำหนักและระบายอากาศได้อย่างยอดเยี่ยม เสริมความพิเศษด้วยลวดลายที่ได้แรงบันดาลใจมาจาก “คลื่น” ช่วยเพิ่มความกระชับในการสวมใส่มากยิ่งขึ้น ปิดท้ายด้วยพื้น Air ขนาดใหญ่ที่ช่วยรองรับแรงกระแทกได้ 360 องศา เพิ่มความสบายในการสวมใส่ มาในเฉดสี Metallic Silver & Midnight Navy ที่ได้แรงบันดาลใจจาก “แสงเหนือ” (Northern Lights) 

 

ตามมาด้วย Air Max Scorpion โมเดลสุดลํ้าจาก Nike อัดแน่นด้วยวัสดุคุณภาพระดับพรีเมี่ยม ส่วนอัปเปอร์ผสมผสาน chenille fabric นุ่มขั้นเทพเข้ากับ Flyknit ที่เบาสบายราวกับเดินบนก้อนเมฆ ผลิตจากวัสดุรีไซเคิลที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดดเด่นด้วย Air Cushioning  แบบ Point-Loading รองรับการตอบสนองดีเยี่ยมควบคู่ไปกับความสบายที่ไม่เหมือนใคร ปิดท้ายด้วยดีไซน์แพทเทิร์นแบบ Generative ที่ยกระดับการยึดเกาะพื้นผิวที่หลากหลาย ก้าวได้อย่างมั่นใจ รู้สึกสบายตั้งแต่ยังไม่ทันได้ลองใส่

 

 

‘นวัตกรรมแห่งความเหนือจริงที่สัมผัสได้’ 

 

จนมาถึงปีนี้ 2024 Nike ได้เปิดตัว Air Max DN รองเท้าแห่งนวัตกรรมคู่ล่าสุดที่อัดแน่นดีไซน์ที่โฉบเฉี่ยว มาพร้อมกับเทคโนโลยี “Dynamic Air System” นวัตกรรม Air Unit แห่งอนาคต ในคอนเซ็ปต์ของ “The Next Era of Air” ส่งต่อความฝันและแรงบันดาลใจกับคลื่นลูกใหม่ ให้ทุกคนได้เป็นตัวเองอย่างเต็มที่ แต่งเติมวัยฝันผ่าน Air Max Dn  กับเทคโนโลยีที่พร้อมพาทุกคนทลายขีดจำกัด ซัพพอร์ตทุกกิจกรรม ให้ทุกวันเป็นวันที่ Unreal! 

 

โดยทางทีมของ Nike ได้ทำการค้นคว้าศึกษาพฤติกรรมเกี่ยวกับการเคลื่อนที่ของอากาศ และเรียนรู้วิธีการนำมาปรับใช้กับพื้น Air Max ให้ได้ประโยชน์สูงสุด Reggie Hunter ผู้อำนวยการ Nike Lifestyle Footwear ได้กล่าวว่า “การจัดวางช่องระบายอากาศอย่างอิสระ จะทำให้ส่วน Air สามารถตอบสนองร่างกายในแต่ละขั้นตอน และจับความรู้สึกของการเคลื่อนไหวจากส้นจรดปลายเท้าได้อย่างราบรื่น              เนื่องจากส่วน Air จะโต้ตอบไปกับเท้าของคุณแบบเรียลไทม์”

 

Air Max Dn เป็นโมเดลที่ผ่านการทดลองในหลากหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็น ความสามารถทางด้านดิจิทัล ผ่านการวิเคราะห์องค์ประกอบจำกัด ช่วยให้ทีมทดสอบหน่วยอากาศได้รวดเร็วและแม่นยำยิ่งขึ้น ก่อนที่จะสร้างต้นแบบสำหรับการทดสอบในชีวิตจริงในห้องปฏิบัติการ เพื่อทดสอบความทนทานของหน่วยลม พร้อมจำลองการสึกหรอของรองเท้าในหนึ่งปีแบบดิจิทัลได้ในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง และดำเนินการทดลอง ปรับแต่ง และทำซ้ำ จนได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด 

 

Nike Air Max Dn โดดเด่นด้วย “Dynamic Air System” นวัตกรรม Air Unit ให้ทุกก้าวของคุณสบายมากขึ้น ยกระดับการเดินไปอีกขั้นด้วย Dynamic Air ที่มีอยู่ 2 ส่วน ซึ่งในส่วนของ Air จะเป็นส่วนที่มีท่อแรงดันอากาศ 4 ท่อ ดีไซน์มาเพื่อความสะดวกสบาย ซึ่งเรียกว่าท่อแรงดันคู่ หรือว่า Pressurize Tubes ติดตั้งบริเวณส้นเท้า 2 ท่อ และกลางเท้าอีก 2 ท่อ ซึ่งในบริเวณส้นเท้าจะมีระดับความดันอากาศที่มากกว่า เพื่อให้สอดคล้องกับธรรมชาติของการลงน้ำหนักเวลาก้าวเดิน โดยสามารถรองรับแรงดันอากาศได้มากถึง 15 psi ขณะที่เท้าเราเคลื่อนไหว อากาศจะเคลื่อนตัวอย่างอิสระอยู่ระหว่างภายในท่อและส่วนย่อย กระบวนการนี้จะทำให้อากาศตอบสนองกับแรงดัน  สิ่งที่ได้รับคือสัมผัสที่นุ่มนวล และเบาสบาย สำหรับพื้นรองเท้าจะใช้เป็นตัววัสดุยอดฮิตอย่าง Pylon หุ้มที่ Dynamic Air อีกชั้น Upper ทำจากวัสดุ Mesh หลายชั้นระบายอากาศได้ดี Outsole ทำจากยางชนิดทนทาน โอบรับรอบส้นเท้าให่การยึดเกาะที่ดีเยี่ยม ถ่ายเทนํ้าหนักได้ลื่นไหล เด้งกลับอย่างว่องไว งดงามด้วยเฉดสี “Black and Dark Smoke Grey” ตัดผสานกันอย่างลงตัวไปทั่วทั้งคู่ เฉลิมฉลองต้นฉบับพร้อมต้อนรับอนาคต ออกแบบมาเพื่อความสบายที่เหนือจริง  

 

 

เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองนวัตกรรมใหม่สุดพิเศษนี้ทาง Carnival ขอชวนทุกคนมาร่วมเฉลิมฉลอง และลองรองเท้าแบบเหนือจริงไปกับ Nike Air Max Dn Immersive Try-On ที่้หน้าร้าน Carnival Warehouse 30 กับเฉดสี “Black and Dark Smoke Grey” พร้อมรับ  “Carnival Air Max Dn Blanket” ของขวัญสุด Exclusive ก่อนจะไปสัมผัสประสบการณ์พิเศษของร้าน Carnival ในรูปแบบของ 'Unreal Studio' 

 

ดำดิ่งไปกับ Animated World ของ Gena Desouza กระโดดข้ามมิติไปสร้างเครื่องรางแบบ Tye Zine แล้วไปค้นพบอีกด้านในตัวคุณผ่านการถ่ายภาพที่บูธของ IWANNABANGKOK© และสนุกไปกับ Exclusive Performance ของ Gena Desouza แล้วมาเจอกัน! 30 มีนาคมนี้ ที่ร้าน Carnival Warehouse 30 ตั้งแต่เวลา 15:00 – 20:00

 

ลิงค์ลงทะเบียน nike.sng.link/Astn5/1tbd/ixp0   

 

 

#nike #nikesportswear #AirMaxDN #carnivalbkk 

 

By Carnivalbkk
73 view(s)
3 months ago